
พระโมคคัลลานะ เดิมชื่อว่า โกลิตะ เกิดที่หมู่บ้านโกลิตะ เมืองนาลันทา เป็นบุตรของพราหมณ์สกุลโกลิตะ กับนางโมคคัลลี ผู้เป็นมารดา โกลิตะมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง ชื่อ อุปติสสะ (ต่อมาเป็นพระสารีบุตร) เด็กชายทั้งสองนี้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย และเปี่ยมด้วยบารมี มีข้าทาสบริวารมากมาย เมื่อฐานะความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน เวลาไปไหนมาไหน ก็มักจะไปด้วยกันเสมอ

หลังจากที่เที่ยวกันมากมายทำให้เขาทั้งสองเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่ไม่จีรังเหล่านี้ทั้งสองต่างมีใจและความเห็นตรงกัน จึงได้รวบรวมข้าทาสบริวาร ไปขอบวชอยู่ที่สำนักของท่าน “สัญชัยปริพาชก” เมื่อเล่าเรียนและศึกษาธรรมจนครบถ้วนแล้ว ทั้งโกลิตะ และ อุปติสสะ ก็ได้นำธรรมะเหล่านั้นมาสอนสั่ง และอบรมข้าทาสบริวารสืบไป
ต่อมา ทั้งสองก็เกิดความคิดขึ้นตรงกันอีกว่า เห็นทีแนวทางของท่านอาจารย์สัญชัยนี้ จะไม่ใช่แนวทางไปสู่ธรรมอันถูกต้อง จึงปรึกษากันแล้ว เห็นสมควรว่า จะต้องสืบเสาะหาโมกขธรรมอันแท้จริงต่อไป
ทั้งสองก็เที่ยวสืบหาแหล่งธรรม ที่จะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ทั่วทุกภูมิภาค จนกระทั่ง อุปติสสะ ได้ไปพบกับ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ ของพระพุทธเจ้า ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมจากท่านอัสสชิ จนเกิดเห็นธรรมขึ้นมา จึงได้ชักชวนโกลิตะ ให้เดินทางไปถวายตัวเป็นพุทธสาวกของพระพุทธเจ้า
แต่ด้วยความกตัญญูรู้คุณคน โกลิตะ กับ อุปติสสะ จึงได้ไปเยี่ยมกราบลาอาจารย์สัญชัย และยังได้เอ่ยปากชักชวนอาจารย์ไปถวายตัวเข้าเป็นพุทธสาวกด้วยกัน แต่ท่านอาจารย์นั้นมีทิฐิมานะสูง จึงตอบปฏิเสธต่อ ศิษย์ทั้งสองไป
หลังจากที่อุปติสสะ และ โกลิตะ จากสำนักปริพาชกมาแล้ว ก็มุ่งตรงเข้าสู่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เพื่อทูลของอุปสมบท เป็นพุทธสาวกกับพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงเมตตาจัดการบวชให้สมดังความตั้งใจ
เมื่อได้บวชแล้ว โกลิตะ ก็ได้นามใหม่ว่า “พระโมคคัลลานะ” อันเป็นชื่อที่ถูกเรียกตามชื่อมารดาของท่านคือ “โมคคัลลี”
พระโมคคัลลานะ เป็นผู้ที่ทรงพุทธานุภาพมาก ทรงเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์
ท่านได้อุปสมบทแล้วในพระธรรมวินัยนี้ได้เจ็ดวัน ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่นั้น ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความโงกง่วงสั่งสอนท่านว่า โมคคัลลานะ ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรม อันตนได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้ว ถ้ายังละไม่ได้ ท่านควรสาธยายธรรมอันตนได้ฟังและได้เรียนแล้ว ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรลุกขึ้นยืน แล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวม ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรสำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้วรีบลุกขึ้น
ครั้งหนึ่ง พระโมคคัลลานะ ได้พำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา ก็เกิดมีโจรกลุ่มหนึ่ง คิดจะจับตัวท่าน เพื่อจะทำการประทุษร้าย เพราะเห็นว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีผลต่อการเผยแพร่ธรรม จนทำให้พุทธศาสนาเฟื่องฟู อันเป็นผลทำให้ลัทธิต่าง ๆ ที่พวกโจรนับถืออยู่ ต้องเสื่อมด้อยถอยลง
พวกโจรนั้นพยายามเข้าห้อมล้อม เพื่อดักจับตัวท่านเป็นจำนวนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเวลาสองเดือน เต็ม ๆ ไม่อาจจับตัวพระโมคคัลลานะได้ เพราะท่านเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง
จวบจนเข้าเดือนที่สาม พระโมคคัลลานะก็เกิดความแปลกใจขึ้นมาว่า เหตุไฉนพวกโจรเหล่านี้ จึงไม่ลดละความพยายามที่จะทำร้ายท่าน นี่คงเป็นเพราะกรรมบันดาลแน่ จึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ท่านจึงกำหนดอธิษฐานย้อนดูกรรมเก่าในอดีตของท่านก็พบว่า เป็นบาปกรรมแต่ชาติก่อนอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ซึ่งเห็นทีท่านมิอาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับตัวท่านไป ทุบตีในป่าเปลี่ยว กระดูกเเตกทั่วร่าง จนกระทั่งพวกโจรเห็นว่า ท่านตายแล้ว จึงจับตัวของท่านโยนทิ้งไว้ในป่าลึก
หลังจากที่พวกโจรคล้อยหลัง และลับหายไปแล้ว พระโมคคัลลานะ จึงได้นั่งสมาธิ เพื่อเข้าฌาน เพื่อประสานอาการบอบช้ำ และประสานกระดูกให้คืนดังเก่า ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปทูลลาเพื่อเข้าสู่นิพพาน ต่อพระพุทธเจ้า
ถึงแม้พระโมคคัลลานะจะเป็นถึงพระอรหันต์ ซึ่งประกอบแต่คุณงามความดี ไม่มีกรรมไม่ดีในชาตินี้ แต่ทว่า เมื่อเป็นกรรมเก่าแต่ปางก่อนแล้ว ท่านก็ต้องชดใช้ไป ซึ่งในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อข่าวพระโมคคัลลานะ ถูกประทุษร้ายจนถึงแก่ความตายแพร่สะพัดออกไป เหล่าสาวกทั้งหลายก็พากันแปลกใจเป็นอันมาก เพราะเห็นว่า พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก เหตุไฉนจึงถูกพวกโจรทำร้ายได้ เหล่าสาวกจึงนำปรัศนีย์นี้ ไปทูลถามต่อพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตรัสแก่บรรดาสาวกให้หายสงสัยว่า
“เหล่าสาวกทั้งหลาย การที่พระโมคคัลลานะตายนี้ ถึงแม้จะไม่สมควรแก่กรรมในชาตินี้ แต่ก็สมควรแล้วแก่กรรมที่เคยมีในชาติก่อน”
หลังจากนั้น พระองค์ก็ตรัสเล่าเหตุการณ์ถึงที่มาให้ฟังอีกว่า
เมื่อชาติก่อน พระโมคคัลลานะ เกิดเป็นบุตรของคนมั่งมีตระกูลหนึ่ง อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโมคคัลลานะมีความขยันขันแข็ง เอาการเอางานจนเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาเป็นอันมาก
ต่อมา ด้วยความรักลูก บิดามารดาเห็นว่าลูกชายนั้นเติบใหญ่ สมควรที่จะมีเมียเพื่อมาเป็นแม่ศรีเรือน เพื่อคอยช่วยงานบ้านงานเรือนได้แล้ว ลูกชายจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป
พ่อแม่ก็เฝ้าอ้อนวอนให้ลูกแต่งงาน แต่ลูกชายก็ไม่ยอม เมื่อหลาย ๆ ครั้งเข้า พ่อแม่ทนดูลูกชายเหน็ดเหนื่อยต่อไปอีกไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจพาหญิงสาวคนหนึ่งมาเป็นเมีย เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ ลูกชายก็สุดวิสัยที่จะบ่ายเบี่ยงได้ จึงรับหญิงนั้นไว้
อยู่มานานเข้า ข้างฝ่ายเมียก็เกิดอิจฉาริษยาพ่อผัวแม่ผัวขึ้นมา ที่แย่งเอาความรักจากผัวของตัวไปสิ้น จึงใช้กลอุบายคอยใส่ร้ายพ่อผัวแม่ผัว ให้ผัวของตัวฟังเสมอ ไม่ว่าจะพูดสักกี่ครั้ง ผัวก็ไม่ยอมเชื่อ เมียตัวดีแม้จะไม่ สมหวัง แต่ก็ไม่หมดความตั้งใจที่จะกล่าวร้าย จึงได้คิดเล่ห์กลขึ้นมาใหม่
คราวนี้เมียตัวแสบก็แกล้งเอาขยะ และสิ่งโสโครกมาเททิ้งในบ้าน พอผัวกลับมาเห็นเข้า นางก็แกล้งทำเป็นร้องไห้ แล้วลงมือทำความสะอาดของเหล่านั้นทันที นางแกล้งทำเช่นนี้อยู่สองสามวัน เมื่อผัวกลับเข้ามาบ้าน ก็เห็นสภาพรกรุงรังเช่นเคย จึงได้เอ่ยถามผู้เป็นเมียว่า
“ทำไมถึงทำบ้านสกปรกอย่างนี้ทุกวันล่ะ”
พอเห็นว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นางจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้โฮ แล้วกล่าวให้ร้ายพ่อผัวแม่ผัวว่า “พี่ขา ฉันทนไม่ไหวแล้ว พ่อแม่พี่แกล้งเอาของเหล่านี้มาเทเรี่ยราดทุกวัน ฉันปัดกวาดไม่ไหวแล้ว ถ้าพี่รักฉันจริง พาฉันไปอยู่ข้างนอกเถอะ”
ฝ่ายผัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เกิดเชื่อ และสงสารเมียขึ้นมา เลยเกิดใจอ่อน เห็นผิดเป็นชอบ จึงกล่าวปลอบผู้เป็นเมียไปว่า “พ่อแม่ทำอย่างนี้ก็เกินไป แล้วพี่จะจัดการให้”
เมื่อความหลงใหลเข้าครอบคลุมจิตใจเช่นนี้แล้ว ทำให้ขาดสติยั้งคิด กลับไปทำสิ่งซึ่งเป็นบาปกรรมได้ง่าย กรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนของพระโมคคัลลานะจึงเกิดขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายได้โกหกพ่อแม่ว่า จะไปเยี่ยมญาติซึ่งอยู่ห่างออกไป จึงอยากจะชวนพ่อแม่ให้ไปเยี่ยมด้วยกัน แล้วก็ขับเกวียนพาพ่อแม่เข้าไปในป่า เมื่อถึงกลางทาง ก็บอกกับพ่อแม่ว่า จะขอลงไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะตามไปทีหลัง
เวลาไม่นานต่อมา ลูกชายซึ่งปลอมตัวเป็นโจร ก็แอบลอบสังหารผู้เป็นพ่อแม่ถึงแก่ความตาย
กรรมที่ทำร้ายพ่อแม่อย่างนี้ ต้องตกนรกและต้องถูกทุบตีจนตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายชาติ จวบจนชาติสุดท้ายที่จะต้องได้รับกรรม จนมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสต่อไปอีกว่า
ผู้ที่ประทุษร้ายพระโมคคัลลานะก็เช่นกัน ย่อมต้องชดใช้กรรมที่ได้สร้างไว้ด้วย อย่างเช่น พวกโจรที่ทุบหัวของพระโมคคัลลานะจนเสียชีวิต ก็ต้องไปเกิดวิบัติตามไปด้วย เพราะไปทำร้ายผู้อื่นเขา
เมื่อเหล่าโจรได้ฆ่าพระโมคคัลลานะจนถึงแก่ความตายแล้ว ก็นึกกระหยิ่มใจ พากันดื่มสุราจนเมามายขาดสติ เมื่อสติไม่มี เหล่าโจรก็พากันโอ้อวดกันเป็นยกใหญ่ ว่าตนเองเป็นผู้ที่ลงมือเอาหินทุบหัวพระโมคคัลลานะก่อน เสียงถกเถียงระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่ว จนกระทั่งมีตำรวจเมืองผ่านเข้ามา และได้ยินเรื่องที่เหล่าโจรทำการสังหารพระโมคคัลลานะ จึงได้ทำการจับกลุ่มโจรกลุ่มนั้นไปตัดสินความ
พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นผู้ตัดสินความ ได้ตรัสรับสั่ง ให้จัดการขุดหลุมแค่เอว แล้วให้พวกโจรลงไปยืนในหลุม กลบดินฝังครึ่งล่างของพวกโจรให้แน่น จนไม่สามารถกระดิกตัวได้ หลังจากนั้นก็ให้เอาฟางมาโปะคลุมหัวพวกโจรไว้จนมิด แล้วจุดไฟเผา แค่นั้นยังไม่สาสมกับความผิดที่ฆ่าพระสงฆ์ ยังรับสั่งให้เอาศพที่ถูกไฟเผาแล้ว มาตัดเป็นท่อน ๆ
นี่แหละกรรมตามทัน ใครทำสิ่งใดไว้ ย่อมต้องชดใช้เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นหรอก

หลังจากที่เที่ยวกันมากมายทำให้เขาทั้งสองเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่ไม่จีรังเหล่านี้ทั้งสองต่างมีใจและความเห็นตรงกัน จึงได้รวบรวมข้าทาสบริวาร ไปขอบวชอยู่ที่สำนักของท่าน “สัญชัยปริพาชก” เมื่อเล่าเรียนและศึกษาธรรมจนครบถ้วนแล้ว ทั้งโกลิตะ และ อุปติสสะ ก็ได้นำธรรมะเหล่านั้นมาสอนสั่ง และอบรมข้าทาสบริวารสืบไป
ต่อมา ทั้งสองก็เกิดความคิดขึ้นตรงกันอีกว่า เห็นทีแนวทางของท่านอาจารย์สัญชัยนี้ จะไม่ใช่แนวทางไปสู่ธรรมอันถูกต้อง จึงปรึกษากันแล้ว เห็นสมควรว่า จะต้องสืบเสาะหาโมกขธรรมอันแท้จริงต่อไป

ทั้งสองก็เที่ยวสืบหาแหล่งธรรม ที่จะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ทั่วทุกภูมิภาค จนกระทั่ง อุปติสสะ ได้ไปพบกับ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ ของพระพุทธเจ้า ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมจากท่านอัสสชิ จนเกิดเห็นธรรมขึ้นมา จึงได้ชักชวนโกลิตะ ให้เดินทางไปถวายตัวเป็นพุทธสาวกของพระพุทธเจ้า
แต่ด้วยความกตัญญูรู้คุณคน โกลิตะ กับ อุปติสสะ จึงได้ไปเยี่ยมกราบลาอาจารย์สัญชัย และยังได้เอ่ยปากชักชวนอาจารย์ไปถวายตัวเข้าเป็นพุทธสาวกด้วยกัน แต่ท่านอาจารย์นั้นมีทิฐิมานะสูง จึงตอบปฏิเสธต่อ ศิษย์ทั้งสองไป
หลังจากที่อุปติสสะ และ โกลิตะ จากสำนักปริพาชกมาแล้ว ก็มุ่งตรงเข้าสู่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เพื่อทูลของอุปสมบท เป็นพุทธสาวกกับพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ทรงเมตตาจัดการบวชให้สมดังความตั้งใจ
เมื่อได้บวชแล้ว โกลิตะ ก็ได้นามใหม่ว่า “พระโมคคัลลานะ” อันเป็นชื่อที่ถูกเรียกตามชื่อมารดาของท่านคือ “โมคคัลลี”
พระโมคคัลลานะ เป็นผู้ที่ทรงพุทธานุภาพมาก ทรงเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์

ท่านได้อุปสมบทแล้วในพระธรรมวินัยนี้ได้เจ็ดวัน ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตคาม แขวงมคธ อ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่นั้น ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความโงกง่วงสั่งสอนท่านว่า โมคคัลลานะ ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ ท่านควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรม อันตนได้ฟังแล้วและได้เรียนแล้ว ถ้ายังละไม่ได้ ท่านควรสาธยายธรรมอันตนได้ฟังและได้เรียนแล้ว ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรลุกขึ้นยืน แล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวันกลางคืน ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวม ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นท่านควรสำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้นไว้ในใจ พอท่านตื่นแล้วรีบลุกขึ้น

ครั้งหนึ่ง พระโมคคัลลานะ ได้พำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา ก็เกิดมีโจรกลุ่มหนึ่ง คิดจะจับตัวท่าน เพื่อจะทำการประทุษร้าย เพราะเห็นว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีผลต่อการเผยแพร่ธรรม จนทำให้พุทธศาสนาเฟื่องฟู อันเป็นผลทำให้ลัทธิต่าง ๆ ที่พวกโจรนับถืออยู่ ต้องเสื่อมด้อยถอยลง
พวกโจรนั้นพยายามเข้าห้อมล้อม เพื่อดักจับตัวท่านเป็นจำนวนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเวลาสองเดือน เต็ม ๆ ไม่อาจจับตัวพระโมคคัลลานะได้ เพราะท่านเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง
จวบจนเข้าเดือนที่สาม พระโมคคัลลานะก็เกิดความแปลกใจขึ้นมาว่า เหตุไฉนพวกโจรเหล่านี้ จึงไม่ลดละความพยายามที่จะทำร้ายท่าน นี่คงเป็นเพราะกรรมบันดาลแน่ จึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ท่านจึงกำหนดอธิษฐานย้อนดูกรรมเก่าในอดีตของท่านก็พบว่า เป็นบาปกรรมแต่ชาติก่อนอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ซึ่งเห็นทีท่านมิอาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับตัวท่านไป ทุบตีในป่าเปลี่ยว กระดูกเเตกทั่วร่าง จนกระทั่งพวกโจรเห็นว่า ท่านตายแล้ว จึงจับตัวของท่านโยนทิ้งไว้ในป่าลึก
หลังจากที่พวกโจรคล้อยหลัง และลับหายไปแล้ว พระโมคคัลลานะ จึงได้นั่งสมาธิ เพื่อเข้าฌาน เพื่อประสานอาการบอบช้ำ และประสานกระดูกให้คืนดังเก่า ต่อจากนั้นท่านก็เดินทางไปทูลลาเพื่อเข้าสู่นิพพาน ต่อพระพุทธเจ้า
ถึงแม้พระโมคคัลลานะจะเป็นถึงพระอรหันต์ ซึ่งประกอบแต่คุณงามความดี ไม่มีกรรมไม่ดีในชาตินี้ แต่ทว่า เมื่อเป็นกรรมเก่าแต่ปางก่อนแล้ว ท่านก็ต้องชดใช้ไป ซึ่งในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อข่าวพระโมคคัลลานะ ถูกประทุษร้ายจนถึงแก่ความตายแพร่สะพัดออกไป เหล่าสาวกทั้งหลายก็พากันแปลกใจเป็นอันมาก เพราะเห็นว่า พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก เหตุไฉนจึงถูกพวกโจรทำร้ายได้ เหล่าสาวกจึงนำปรัศนีย์นี้ ไปทูลถามต่อพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงตรัสแก่บรรดาสาวกให้หายสงสัยว่า
“เหล่าสาวกทั้งหลาย การที่พระโมคคัลลานะตายนี้ ถึงแม้จะไม่สมควรแก่กรรมในชาตินี้ แต่ก็สมควรแล้วแก่กรรมที่เคยมีในชาติก่อน”
หลังจากนั้น พระองค์ก็ตรัสเล่าเหตุการณ์ถึงที่มาให้ฟังอีกว่า
เมื่อชาติก่อน พระโมคคัลลานะ เกิดเป็นบุตรของคนมั่งมีตระกูลหนึ่ง อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโมคคัลลานะมีความขยันขันแข็ง เอาการเอางานจนเป็นที่รักใคร่ของบิดามารดาเป็นอันมาก
ต่อมา ด้วยความรักลูก บิดามารดาเห็นว่าลูกชายนั้นเติบใหญ่ สมควรที่จะมีเมียเพื่อมาเป็นแม่ศรีเรือน เพื่อคอยช่วยงานบ้านงานเรือนได้แล้ว ลูกชายจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป

อยู่มานานเข้า ข้างฝ่ายเมียก็เกิดอิจฉาริษยาพ่อผัวแม่ผัวขึ้นมา ที่แย่งเอาความรักจากผัวของตัวไปสิ้น จึงใช้กลอุบายคอยใส่ร้ายพ่อผัวแม่ผัว ให้ผัวของตัวฟังเสมอ ไม่ว่าจะพูดสักกี่ครั้ง ผัวก็ไม่ยอมเชื่อ เมียตัวดีแม้จะไม่ สมหวัง แต่ก็ไม่หมดความตั้งใจที่จะกล่าวร้าย จึงได้คิดเล่ห์กลขึ้นมาใหม่
คราวนี้เมียตัวแสบก็แกล้งเอาขยะ และสิ่งโสโครกมาเททิ้งในบ้าน พอผัวกลับมาเห็นเข้า นางก็แกล้งทำเป็นร้องไห้ แล้วลงมือทำความสะอาดของเหล่านั้นทันที นางแกล้งทำเช่นนี้อยู่สองสามวัน เมื่อผัวกลับเข้ามาบ้าน ก็เห็นสภาพรกรุงรังเช่นเคย จึงได้เอ่ยถามผู้เป็นเมียว่า
“ทำไมถึงทำบ้านสกปรกอย่างนี้ทุกวันล่ะ”
พอเห็นว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นางจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้โฮ แล้วกล่าวให้ร้ายพ่อผัวแม่ผัวว่า “พี่ขา ฉันทนไม่ไหวแล้ว พ่อแม่พี่แกล้งเอาของเหล่านี้มาเทเรี่ยราดทุกวัน ฉันปัดกวาดไม่ไหวแล้ว ถ้าพี่รักฉันจริง พาฉันไปอยู่ข้างนอกเถอะ”
ฝ่ายผัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เกิดเชื่อ และสงสารเมียขึ้นมา เลยเกิดใจอ่อน เห็นผิดเป็นชอบ จึงกล่าวปลอบผู้เป็นเมียไปว่า “พ่อแม่ทำอย่างนี้ก็เกินไป แล้วพี่จะจัดการให้”
เมื่อความหลงใหลเข้าครอบคลุมจิตใจเช่นนี้แล้ว ทำให้ขาดสติยั้งคิด กลับไปทำสิ่งซึ่งเป็นบาปกรรมได้ง่าย กรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนของพระโมคคัลลานะจึงเกิดขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายได้โกหกพ่อแม่ว่า จะไปเยี่ยมญาติซึ่งอยู่ห่างออกไป จึงอยากจะชวนพ่อแม่ให้ไปเยี่ยมด้วยกัน แล้วก็ขับเกวียนพาพ่อแม่เข้าไปในป่า เมื่อถึงกลางทาง ก็บอกกับพ่อแม่ว่า จะขอลงไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะตามไปทีหลัง

เวลาไม่นานต่อมา ลูกชายซึ่งปลอมตัวเป็นโจร ก็แอบลอบสังหารผู้เป็นพ่อแม่ถึงแก่ความตาย
กรรมที่ทำร้ายพ่อแม่อย่างนี้ ต้องตกนรกและต้องถูกทุบตีจนตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายชาติ จวบจนชาติสุดท้ายที่จะต้องได้รับกรรม จนมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสต่อไปอีกว่า
ผู้ที่ประทุษร้ายพระโมคคัลลานะก็เช่นกัน ย่อมต้องชดใช้กรรมที่ได้สร้างไว้ด้วย อย่างเช่น พวกโจรที่ทุบหัวของพระโมคคัลลานะจนเสียชีวิต ก็ต้องไปเกิดวิบัติตามไปด้วย เพราะไปทำร้ายผู้อื่นเขา
เมื่อเหล่าโจรได้ฆ่าพระโมคคัลลานะจนถึงแก่ความตายแล้ว ก็นึกกระหยิ่มใจ พากันดื่มสุราจนเมามายขาดสติ เมื่อสติไม่มี เหล่าโจรก็พากันโอ้อวดกันเป็นยกใหญ่ ว่าตนเองเป็นผู้ที่ลงมือเอาหินทุบหัวพระโมคคัลลานะก่อน เสียงถกเถียงระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่ว จนกระทั่งมีตำรวจเมืองผ่านเข้ามา และได้ยินเรื่องที่เหล่าโจรทำการสังหารพระโมคคัลลานะ จึงได้ทำการจับกลุ่มโจรกลุ่มนั้นไปตัดสินความ
พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นผู้ตัดสินความ ได้ตรัสรับสั่ง ให้จัดการขุดหลุมแค่เอว แล้วให้พวกโจรลงไปยืนในหลุม กลบดินฝังครึ่งล่างของพวกโจรให้แน่น จนไม่สามารถกระดิกตัวได้ หลังจากนั้นก็ให้เอาฟางมาโปะคลุมหัวพวกโจรไว้จนมิด แล้วจุดไฟเผา แค่นั้นยังไม่สาสมกับความผิดที่ฆ่าพระสงฆ์ ยังรับสั่งให้เอาศพที่ถูกไฟเผาแล้ว มาตัดเป็นท่อน ๆ
นี่แหละกรรมตามทัน ใครทำสิ่งใดไว้ ย่อมต้องชดใช้เช่นนั้น ไม่มีผู้ใดหลุดพ้นหรอก

พระบรมสารีริกธาตุของพระโมคคัลลานะ


