Sunday, February 18, 2007

พระมหากัสสปะ

พระมหากัสสปะ
ในกาลเมื่อพระศาสนาของพระปทุมุตตระพุทธเจ้า พระกัสสปเถระได้เกิดเป็นพราหมณ์สำเร็จไตรเพท และศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลายอื่น ๆ ด้วย อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์มานพได้เห็นพระปทุมุตตระพุทธเจ้าก็มีจิตเลื่อมใส ได้กระทำสักการบูชาด้วยสุมน บุปผาชาติดอกมะลิ จึงซัดกำดอกไม้โดยรอบ และเบื้องบนของพระบรมศาสดา ด้วยอำนาจพระบรมพุทธานุภาพ ดอกมะลิทั้งหลายก็ประดิษฐานอยู่ โดยอาการเป็นอาสนะดอกไม้ ตั้งอยู่ถึงเจ็ดวัน พราหมณ์มานพนั้น ครั้นเห็นมหัศจรรย์ก็มีจิตเลื่อมใสยิ่งขึ้น แล้วก็อุตส่าห์บำเพ็ญกองการกุศลสืบไปในเบื้องหน้า









ครั้นมาในพระพุทธกาลของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านก็ได้มาเกิดเป็นบุตรอุทิจจพราหมณ์ ผู้หนึ่งในนครสาวัตถีชื่อ กัสสปมานพ บิดากัสสปมานพกระทำกาลกิริยา เสียแต่ในกาลที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านได้อุตส่าห์ปฎิบัติเลี้ยงดูมารดา อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้ไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ได้สดับพระธรรมเทศนา เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผลญาณในอาสนะอันเป็นที่นั่งนั้น เพราะเหตุว่าบริบูรณ์ด้วยเหตุสมบัติ จึงกลับมายังสำนักของมารดา ยังมารดาให้อนุญาตแล้วก็ออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา
ในกาลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปวารณาออกพระวัสสาแล้ว และเสด็จไปสู่ชนบทจาริกนั้น พระกัสสปเถระมีความปรารถนาจะใคร่ไปกับพระบรมศาสดา จึงไปยังสำนักของมารดาเพื่อจะอำลาบอกกล่าว ผ่ายมารดาเมื่อจะสละเสียนั้นจึงกล่าวพระคาถาให้โอวาทว่า "ในประเทศใดมีภิกขาหารอันได้ด้วยง่ายเป็นประเทศเกษม ปราศจากโรคาพยาธิและเป็นประเทศอันปราศจากภัย มีภัยเกิดแต่โจร เป็นต้น พ่อจงไปในประเทศนั้น ความโศกอันเกิดแต่ภัยมีข้าวยากหมากแพงเป็นต้น จงอย่ามาวีแววแผ้วพานเบียดเบียนแต่พ่อเลย"
พระกัสสปเถระได้ฟังคำมารดาว่าดังนั้นจึงรำพึงว่า มารดาของเรามีความปรารถนากิริยาที่เราไปในที่อันปราศจากความโศกของเรา เราควรเพื่อจะให้บรรลุ ที่อันปราศจากความทุกข์ จึงอุตส่าห์ตั้งวิปัสนากรรมฐานเมื่อไปอยู่ในอรัญประเทศไม่ช้าก็ได้บรรลุพระอรหัต เหตุการณ์ดังนั้น ท่านจึงกล่าวประกาศบุพพจริตาปทาน แสดงอภินิหารเหตุบุพพจารีตของตนในกาลก่อน ในคัมภีร์พระอปทาน มีว่า ในกาลก่อนนั้น ท่านประกอบด้วยความสรรเสริญศิลปวิชาการ ชำนาญในไตรเพท ถึงฝั่งของไตรเพททรงไว้ซึ่งเวทมนต์ ท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าอันเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก พระนามว่าพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระสิริวิลาสดุจพระยาไกรสรราชสีห์ มิฉะนั้นประดุจพระยาพยัคฆะเสือโคร่ง มิฉะนั้นประดุจพระยากุญชรชาติบังเกิดในมาตังคประเทศ ครั้นท่านได้เห็นแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส จึงเอาสุมนชาติ ดอกมะลิซัดไปในอากาศ กระทำสักการบูชาแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระบรมศาสดา ก็ทรงพระอธิษฐานบันดาล ให้สุมนบุปผาชาติเป็นเพดาน กางกั้นในเบื้องบน และข้างทั้งสี่มีอาการประดุจดังฝา และเป็นบุปผาอาสนะ ในกาลนั้นสุมนบุปผาชาติทั้งหลายก็บันดาลมีขั้วหันเข้ามา ณ ภายในมีกลีบและเกษรกลับออกมาภายนอก บังเกิดเป็นฝากั้นอยู่โดยรอบ แวดล้อมพระบรมศาสดาอยู่ถึงเจ็ดวัน จากนั้นก็อันตรธานสูญหายไป เมื่อท่านได้เห็นมหัศจรรย์นั้นก็ยังจิตให้เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอำนาจผลของสุมนบุปผาชาติบูชานั้น ท่านมิได้ไปบังเกิดในทุคติภพเลยสิ้นแสนกัป ในกัปที่ ๑๕ ท่านก็ได้เกิดเป็นบรมจักรพัตราธิราช ทรงพระนามว่าจิตตอำมาตย
กาลบัดนี้กิเลสทั้งหลายท่านก็เผาเสียให้สิ้นสุดจากสันดานแล้ว พระพุทธศาสนธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านก็ได้กระทำเสร็จสิ้นทุกประการแล้ว
พระกัสสปเถระ ครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว จึงกล่าวพระคาถาโดยนัยเป็นอาทิว่า "เนื้อความถ้อยคำของมารดาของเรานี้ บังเกิดประดุจดังว่าขอแก้ว สำหรับเกี่ยวไว้เพื่อจะให้ถึงพระอรหัต
พระกัสสปเถระ เมื่อมีชนมายุครบจำนวนถ้วนกาลบริเฉท ท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับกรรมชรูปและวิบากขันธ์สิ้นเสร็จ หาเศษคือตัณหาและอุปาทานซึ่งเป็นเชื้อเหลืออยู่มิได้ ดุจเปลวประทีปอันสิ้นไส้ สิ้นน้ำมันแล้วดับไป ฉะนั้น












พระควัมปติ






ท่านพระควัมปติชิเถระ เป็นบุตรของเศรษฐีในเมืองพาราณสี เป็นสหายที่รักใคร่สนิทสนมกับท่านพระยสะ เมื่อยสกุลบุตรออกแล้ว ได้ทราบข่าวจึงคิดว่า ธรรมวินัยที่ยสกุลบุตรสหายของตนออกบวชนั้นจักไม่เป็นของเลวทราม ต้องเป็นของดีแน่นอน ควรที่เราจะเข้า ไปหาแล้วบวช บวชตามบ้าง เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วจึงพร้อมด้วยสหาย ๓ คน ได้แก่ วมละ สุพาหุ ปุณณชิ ได้พากันไปหาท่านพระยสะ หลังจากนั้น ท่านพระยสะก็พาเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลขอให้พระองค์ทรงสั่งสอน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ควัมปติและสหายก็ได้ธรรมจักษุ คือดวงตาคือปัญญาอันเห็นธรรมได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดก็มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อท่านได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วจึงทูลขออุปสมบท ใน พระธรรม วินัย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ได้ฟังธรรม มีกถาที่พระองค์ ตรัสสอนในภายหลัง จิตของท่านก็หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ท่านได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ที่นับเข้าในจำพวก พระสาวกผู้ใหญ่ ในคราวที่พระพุทธเจ้าส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนา ท่านก็ได้รับอนุมัติให้ไปประกาศ พระศาสนาในชนบท ช่วยสั่งสอนให้กุลบุตรเกิดความเลื่อมใสได้มาก เมื่อดำรงอยู่ถึงกาลอายุขัยแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน










พระควัมปะติเถระ





สัณฐานดังใบบัวอ่อนพระควัมปะติเถระ ได้ทำอธิการกุศลในพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ได้บูชาพระสิขีพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ ได้ทำเศวตฉัตร และ แท่นที่บูชาไว้ที่เจดีย์ในศาสนาพระโกนาคมน์ ได้ทำมณฑปถวายพระขีณาสพสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า มาถึงชาตินี้ท่านได้เกิดในแขวงกรุงพาราณสี นามว่าควัมบดี เป็นสหายของยสกุมารซึ่งได้ออกบวชจึงได้ออกบวชตาม แล้วบรรลุอรหันต์ คราวหนึ่งภิกษุถูกน้ำท่วมยามดึก พระพุทธเจ้าทรงให้ท่านไปห้ามกระแสน้ำด้วยฤทธิ์ น้ำนั้นก็หยุดอยู่แต่ไกล ด้วยเหตุนี้เขาจึงนิยมทำพระคะวัมปะติเถระเป็นพระเครื่อง เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมตตามหานิยมเป็นพระปิดตา และ ยังมีความหมายว่าให้สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ซ่านไปตามอารมณ์ภายนอก













No comments: